เนื้อเรื่อง
มาร์ตี้ แม็กฟลาย วัยรุ่นอายุ 17 ปี อาศัยอยู่ที่ฮิลล์วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เช้าวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1985 ดร. เอ็มเม็ตต์ บราวน์ (แสดงโดย ลอยด์) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องเพื่อนต่างวัยของมาร์ตี้ โทรศัพท์มาขอนัดเขาเวลา 1:15 น. ที่ทวินไพน์สมอลล์ ในเช้าวันถัดไป หลังจากเข้าชั้นเรียน เขากับแฟนที่ชื่อเจนนิเฟอร์ (คลอเดีย เวลส์) ถูกขอให้บริจาคเงินเพื่อบูรณะหอนาฬิกาที่หยุดเดินไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้วหลังจากฟ้าผ่าลงหอนาฬิกา ในเย็นวันนั้นระหว่างเดินเข้าบ้านเขาก็พบว่ารถของครอบครัวเขาพังไป ภายในบ้าน พ่อของเขาผู้อ่อนแอที่ชื่อจอร์จ (คริสปิน โกลเวอร์) กำลังถูกระรานจากหัวหน้าเขาที่ชื่อ บิฟฟ์ เทนเน็น (โทมัส เอฟ. วิลสัน) ที่ขอยืมรถของพวกเขาไปแล้วทำพัง ในมื้อเย็นวันนั้น แม่ของมาร์ตี้ที่ชื่อ ลอร์เรน (ลีอา ธอมป์สัน) เล่าความหลังถึงตอนที่เธอและจอร์จพบกันครั้งแรกโดยที่พ่อของเธอขับรถชนจอร์จ โดยบอกว่าจอร์จกำลังดูนกอยู่บ้านแม็กฟลาย
ในคืนนั้น มาร์ตี้ได้พบด็อกตามนัดที่ลานจอดรถของทวินไพน์สมอลล์ ด็อกได้นำเสนอเดอลอรีน ดีเอ็มซี-12 ที่ดัดแปลงมาเป็นยานไทม์แมชชีน โดยให้มาร์ตี้ถ่ายทำเทปวิดีโอไว้ ด็อกอธิบายถึงโปรแกรมในการเดินทางข้ามผ่านเวลาที่ต้องให้รถวิ่งที่ความเร็ว 88 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยใช้พลังงานพลูโตเนียมจากปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดพลังงาน 1.21 จิ๊กกะวัตต์ การสาธิตอธิบายการทำงานของเครื่องยนต์ ด็อกได้กดเวลาเป้าหมาย ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1955 โดยเขาอธิบายว่าเป็นวันที่เขาเกิดแนวคิดในการสร้างเครื่องแปรพลังงาน(ฟลักซ์ คาพาซิเต
อร์) อุปกรณ์ที่ทำให้การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้ ก่อนที่ด็อกวางแผนที่จะเดินทางไปอนาคต จู่ ๆ กลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวลิเบีย ที่ด็อกไปขโมยพลูโตเนียมมา ไล่ล่าเขาด้วยรถแวนโฟล์คสวาเกน จนฆ่าเขาได้ มาร์ตี้กระโดดเข้าเดอลอรีนและถูกวิ่งกวดมาจนถึงความเร็ว 88 ไมล์ต่อชั่วโมงจึงทำให้เดินทางข้ามเวลากลับไปที่ปี ค.ศ. 1955 โดยทันที
เมื่อ มาถึงปี 1955 วิ่งเข้าคอกสัตว์ และรถก็ใช้การไม่ได้ มาร์ตี้จึงซ่อนรถไว้ เขาเดินเข้าไปในเมือง เขาเห็นจตุรัสในเมืองที่บ่งบอกถึงยุคสมัย 1950 และเห็นหอนาฬิกาที่ใช้การได้ มาร์ตี้เดินเข้าร้านกาแฟ พบกับพ่อของเขาเองที่กำลังถูกข่มเหงจากบิฟฟ์อยู่ มาร์ตี้ตามจอร์จไป ที่กำลังจะแอบดูผู้หญิงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ไม่ใช่ดูนก จอร์จตกลงจากต้นไม้และจะถูกรถชน มาร์ตี้ผลักเขาออกไปทำให้เขาถูกรถชนแทน ซึ่งคนขับชนก็คือพ่อของลอร์เรน ผลคือลอร์เรนหลงรักมาร์ตี้แทนจอร์จ มาร์ตี้พยายามบ่ายเบี่ยงการเกี้ยวพาราสีจากแม่ของเขาเอง เขาพบว่าครอบครัวของแม่เขาเป็นครอบครัวที่เคร่งครัดเจ้าระเบียบไม่เหมือนกับ แม่ของเข
าที่รู้จัก เขาผละตัวจากเธอเพื่อพยายามตามหาด็อก บราวน์รถเดอลอรีน
มาร์ ตี้เข้าพบกับด็อก นักวิทยาศาสตร์ที่เห็นว่ามาร์ตี้เสียสติ มาร์ตี้พยายามทำให้ด็อกเชื่อว่าเขามาจากปี 1985 โดยเล่าเรื่องราวของด็อกถึงที่มาของการผลิตเครื่องแปรพลังงาน (ฟลักซ์คาพาซิเตอร์) และได้โชว์วิดีโอเทปการทดลองในปี 1985 อย่างไรก็ตามแต่เมื่อด็อกตอนแก่อธิบายว่าจะต้องใช้พลังงานจำนวนมากที่ใช้ เดินทางข้าม
เวลาก็ทำให้เขาช็อกไป เขาเล่ามาร์ตี้ว่านอกจากพลูโตเนียมแล้ว ซึ่งก็ยากที่จะหามา มีสิ่งเดียวที่มีพลังงานเท่านั้นคือ พลังงานจากฟ้าผ่าซึ่งไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ มาร์ตี้ก็นึกขึ้นได้ว่าจะมีฟ้าผ่าลงหอนาฬิกาที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่จะ ถึง ด็อกได้เริ่มวางแผนที่ใช้ประโยชน์จากฟ้าผ่านี้ ด็อกสรุปว่ามาร์ตี้ ช่วยพ่อของเขาจากการถูกรถชน เป็นการทำให้พ่อและแม่ของเขาพบรักกัน และแนะนำให้เขาแก้ไขเรื่องที่ทำพลาดไปนี้
หลังจากล้มเหลวจากความพยายาม ที่นัดทั้งคู่ออกเดทกัน มาร์ตี้วางแผนให้จอร์จช่วยเหลือลอร์เรนจากที่มาร์ตี้จะลวนลามลอร์เรนในคืน วันเต้นรำท
ี่โรงเรียน อย่างไรก็ตาม บิฟฟ์ได้เข้ามาอย่างไม่ได้คาดการณ์ไว้ และให้แก๊งค์เขาจับตัวมาร์ตี้ลงหลังรถ บิฟฟ์เข้าไปในรถพยายามลวนลามลอร์เรน จอร์จมาพอดีตามแผนของมาร์ตี้ที่วางไว้ แต่ก็ช็อกที่เจอบิฟฟ์แทนมาร์ตี้ บิฟฟ์บอกให้เขาไปไกล ๆ แต่จอร์จไม่อาจทนได้ที่ลอร์เรนถูกลวนลามโดยบิฟฟ์ จึงต่อยเขาเข้าเต็ม ๆ จนหมอบลงกับพื้น ลอร์เรนจึงเกิดหลงรักจอร์จที่ช่วยเหลือเขาอย่างสุภาพบุรุษก็เข้าไปงานเต้นรำ ที่ที่เขาจูบกันครั้งแรก และทำให้มาร์ตี้กลับมามีตัวตนอีกครั้ง
ขณะ เดียวกัน ด็อกได้ใช้สายเคเบิลเชื่อมต่อกับเสาอากาศหอนาฬิกาเข้ากับโคมไฟบนถนนทั้งสอง อัน โดยวางแผนว่าจะให้มาร์ตี้ใช้เดอลอรีนวิ่งขณะที่เกิดฟ้าผ่า ก่อนที่มาร์ตี้จะไปตั้งหลัก ด็อกก็พบกับจดหมายที่มาร์ตี้เขียนขึ้นในกระเป๋าเสื้อคลุม เตือนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าเขาจะถูกฆ่าตาย ด็อกฉีกจดหมายทิ้งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่าน อธิบายว่ามันอาจเป็นอันตรายต่ออนาคต มาร์ตี้จึงปรับเปลี่ยนเวลาที่จะย้อนกลับให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 นาที เพื่อหวังที่จะทำให้เขาไม่ถูกยิง หลังจากที่เขาถึงแล้ว รถก็ใช้การไม่ได้อีก มาร์ตี้จึงถึงลานจอดรถช้าเกินไปที่จะช่วยด็อก ขณะที่มาร์ตี้ร้องไห้อยู่ ร่างของด็อกก็ลุกขึ้นและรูดซิปเสื้อกันกัมมันตภาพรังสีออก โชว์ให้เห็นเสื้อเกราะกันกระสุน เขาให้มาร์ตี้ดูจดหมายที่มาร์ตี้เขียนไว้ในอดีตที่ทำมาปะติดด้วยเทปใหม่
ใน เช้าวันต่อมา มาร์ตี้พบว่าฐานะของครอบครัวเปลี่ยนไป ลอร์เรนดูหุ่นดีและดูไม่จู้จี้จุกจิก จอร์จเป็นนักประพันธ์ที่ดูมีความมั่นใจ ส่วนบิฟฟ์ก็ได้รับใช้จอร์จแทน ส่วนเจนนิเฟอร์กับมาร์ตี้ก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง ด็อกมาถึงพอดีด้วยท่าทีลนลาน เขามาจากอนาคตและจะพาพวกเขาทั้งคู่ไปอนาคตกับเขาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น กับลูก ๆ ในอนาคตของทั้งสอง ฉากจบของเรื่อง รถเดอลอรีนได้เพิ่มสมรรถนะให้บินได้ และหายไปกับอนาคต
มาร์ตี้ แม็กฟลาย วัยรุ่นอายุ 17 ปี อาศัยอยู่ที่ฮิลล์วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เช้าวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1985 ดร. เอ็มเม็ตต์ บราวน์ (แสดงโดย ลอยด์) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องเพื่อนต่างวัยของมาร์ตี้ โทรศัพท์มาขอนัดเขาเวลา 1:15 น. ที่ทวินไพน์สมอลล์ ในเช้าวันถัดไป หลังจากเข้าชั้นเรียน เขากับแฟนที่ชื่อเจนนิเฟอร์ (คลอเดีย เวลส์) ถูกขอให้บริจาคเงินเพื่อบูรณะหอนาฬิกาที่หยุดเดินไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้วหลังจากฟ้าผ่าลงหอนาฬิกา ในเย็นวันนั้นระหว่างเดินเข้าบ้านเขาก็พบว่ารถของครอบครัวเขาพังไป ภายในบ้าน พ่อของเขาผู้อ่อนแอที่ชื่อจอร์จ (คริสปิน โกลเวอร์) กำลังถูกระรานจากหัวหน้าเขาที่ชื่อ บิฟฟ์ เทนเน็น (โทมัส เอฟ. วิลสัน) ที่ขอยืมรถของพวกเขาไปแล้วทำพัง ในมื้อเย็นวันนั้น แม่ของมาร์ตี้ที่ชื่อ ลอร์เรน (ลีอา ธอมป์สัน) เล่าความหลังถึงตอนที่เธอและจอร์จพบกันครั้งแรกโดยที่พ่อของเธอขับรถชนจอร์จ โดยบอกว่าจอร์จกำลังดูนกอยู่บ้านแม็กฟลาย
ในคืนนั้น มาร์ตี้ได้พบด็อกตามนัดที่ลานจอดรถของทวินไพน์สมอลล์ ด็อกได้นำเสนอเดอลอรีน ดีเอ็มซี-12 ที่ดัดแปลงมาเป็นยานไทม์แมชชีน โดยให้มาร์ตี้ถ่ายทำเทปวิดีโอไว้ ด็อกอธิบายถึงโปรแกรมในการเดินทางข้ามผ่านเวลาที่ต้องให้รถวิ่งที่ความเร็ว 88 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยใช้พลังงานพลูโตเนียมจากปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดพลังงาน 1.21 จิ๊กกะวัตต์ การสาธิตอธิบายการทำงานของเครื่องยนต์ ด็อกได้กดเวลาเป้าหมาย ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1955 โดยเขาอธิบายว่าเป็นวันที่เขาเกิดแนวคิดในการสร้างเครื่องแปรพลังงาน(ฟลักซ์ คาพาซิเต
อร์) อุปกรณ์ที่ทำให้การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้ ก่อนที่ด็อกวางแผนที่จะเดินทางไปอนาคต จู่ ๆ กลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวลิเบีย ที่ด็อกไปขโมยพลูโตเนียมมา ไล่ล่าเขาด้วยรถแวนโฟล์คสวาเกน จนฆ่าเขาได้ มาร์ตี้กระโดดเข้าเดอลอรีนและถูกวิ่งกวดมาจนถึงความเร็ว 88 ไมล์ต่อชั่วโมงจึงทำให้เดินทางข้ามเวลากลับไปที่ปี ค.ศ. 1955 โดยทันที
เมื่อ มาถึงปี 1955 วิ่งเข้าคอกสัตว์ และรถก็ใช้การไม่ได้ มาร์ตี้จึงซ่อนรถไว้ เขาเดินเข้าไปในเมือง เขาเห็นจตุรัสในเมืองที่บ่งบอกถึงยุคสมัย 1950 และเห็นหอนาฬิกาที่ใช้การได้ มาร์ตี้เดินเข้าร้านกาแฟ พบกับพ่อของเขาเองที่กำลังถูกข่มเหงจากบิฟฟ์อยู่ มาร์ตี้ตามจอร์จไป ที่กำลังจะแอบดูผู้หญิงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ไม่ใช่ดูนก จอร์จตกลงจากต้นไม้และจะถูกรถชน มาร์ตี้ผลักเขาออกไปทำให้เขาถูกรถชนแทน ซึ่งคนขับชนก็คือพ่อของลอร์เรน ผลคือลอร์เรนหลงรักมาร์ตี้แทนจอร์จ มาร์ตี้พยายามบ่ายเบี่ยงการเกี้ยวพาราสีจากแม่ของเขาเอง เขาพบว่าครอบครัวของแม่เขาเป็นครอบครัวที่เคร่งครัดเจ้าระเบียบไม่เหมือนกับ แม่ของเข
าที่รู้จัก เขาผละตัวจากเธอเพื่อพยายามตามหาด็อก บราวน์รถเดอลอรีน
มาร์ ตี้เข้าพบกับด็อก นักวิทยาศาสตร์ที่เห็นว่ามาร์ตี้เสียสติ มาร์ตี้พยายามทำให้ด็อกเชื่อว่าเขามาจากปี 1985 โดยเล่าเรื่องราวของด็อกถึงที่มาของการผลิตเครื่องแปรพลังงาน (ฟลักซ์คาพาซิเตอร์) และได้โชว์วิดีโอเทปการทดลองในปี 1985 อย่างไรก็ตามแต่เมื่อด็อกตอนแก่อธิบายว่าจะต้องใช้พลังงานจำนวนมากที่ใช้ เดินทางข้าม
เวลาก็ทำให้เขาช็อกไป เขาเล่ามาร์ตี้ว่านอกจากพลูโตเนียมแล้ว ซึ่งก็ยากที่จะหามา มีสิ่งเดียวที่มีพลังงานเท่านั้นคือ พลังงานจากฟ้าผ่าซึ่งไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ มาร์ตี้ก็นึกขึ้นได้ว่าจะมีฟ้าผ่าลงหอนาฬิกาที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่จะ ถึง ด็อกได้เริ่มวางแผนที่ใช้ประโยชน์จากฟ้าผ่านี้ ด็อกสรุปว่ามาร์ตี้ ช่วยพ่อของเขาจากการถูกรถชน เป็นการทำให้พ่อและแม่ของเขาพบรักกัน และแนะนำให้เขาแก้ไขเรื่องที่ทำพลาดไปนี้
หลังจากล้มเหลวจากความพยายาม ที่นัดทั้งคู่ออกเดทกัน มาร์ตี้วางแผนให้จอร์จช่วยเหลือลอร์เรนจากที่มาร์ตี้จะลวนลามลอร์เรนในคืน วันเต้นรำท
ี่โรงเรียน อย่างไรก็ตาม บิฟฟ์ได้เข้ามาอย่างไม่ได้คาดการณ์ไว้ และให้แก๊งค์เขาจับตัวมาร์ตี้ลงหลังรถ บิฟฟ์เข้าไปในรถพยายามลวนลามลอร์เรน จอร์จมาพอดีตามแผนของมาร์ตี้ที่วางไว้ แต่ก็ช็อกที่เจอบิฟฟ์แทนมาร์ตี้ บิฟฟ์บอกให้เขาไปไกล ๆ แต่จอร์จไม่อาจทนได้ที่ลอร์เรนถูกลวนลามโดยบิฟฟ์ จึงต่อยเขาเข้าเต็ม ๆ จนหมอบลงกับพื้น ลอร์เรนจึงเกิดหลงรักจอร์จที่ช่วยเหลือเขาอย่างสุภาพบุรุษก็เข้าไปงานเต้นรำ ที่ที่เขาจูบกันครั้งแรก และทำให้มาร์ตี้กลับมามีตัวตนอีกครั้ง
ขณะ เดียวกัน ด็อกได้ใช้สายเคเบิลเชื่อมต่อกับเสาอากาศหอนาฬิกาเข้ากับโคมไฟบนถนนทั้งสอง อัน โดยวางแผนว่าจะให้มาร์ตี้ใช้เดอลอรีนวิ่งขณะที่เกิดฟ้าผ่า ก่อนที่มาร์ตี้จะไปตั้งหลัก ด็อกก็พบกับจดหมายที่มาร์ตี้เขียนขึ้นในกระเป๋าเสื้อคลุม เตือนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าเขาจะถูกฆ่าตาย ด็อกฉีกจดหมายทิ้งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่าน อธิบายว่ามันอาจเป็นอันตรายต่ออนาคต มาร์ตี้จึงปรับเปลี่ยนเวลาที่จะย้อนกลับให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 นาที เพื่อหวังที่จะทำให้เขาไม่ถูกยิง หลังจากที่เขาถึงแล้ว รถก็ใช้การไม่ได้อีก มาร์ตี้จึงถึงลานจอดรถช้าเกินไปที่จะช่วยด็อก ขณะที่มาร์ตี้ร้องไห้อยู่ ร่างของด็อกก็ลุกขึ้นและรูดซิปเสื้อกันกัมมันตภาพรังสีออก โชว์ให้เห็นเสื้อเกราะกันกระสุน เขาให้มาร์ตี้ดูจดหมายที่มาร์ตี้เขียนไว้ในอดีตที่ทำมาปะติดด้วยเทปใหม่
ใน เช้าวันต่อมา มาร์ตี้พบว่าฐานะของครอบครัวเปลี่ยนไป ลอร์เรนดูหุ่นดีและดูไม่จู้จี้จุกจิก จอร์จเป็นนักประพันธ์ที่ดูมีความมั่นใจ ส่วนบิฟฟ์ก็ได้รับใช้จอร์จแทน ส่วนเจนนิเฟอร์กับมาร์ตี้ก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง ด็อกมาถึงพอดีด้วยท่าทีลนลาน เขามาจากอนาคตและจะพาพวกเขาทั้งคู่ไปอนาคตกับเขาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น กับลูก ๆ ในอนาคตของทั้งสอง ฉากจบของเรื่อง รถเดอลอรีนได้เพิ่มสมรรถนะให้บินได้ และหายไปกับอนาคต