ภาพยนตร์การ์ตูนแอนนิเมชันที่น่าดูที่สุดแห่งปีนี้ คงหนีไม่พ้น Up จากค่าย Disney Pixar ตามเคย ที่ยังคงรักษามาตรฐานความเหนือชั้นไว้อย่างดี ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ ถ้าดูกันจริงๆ อาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ขาดไป หรือไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับดิสนี่ย์คลาสสิก แต่เรื่องนี้ก็ยังรับประกันความสวยงาม ความสนุกสนานและความฮาแบบไม่ไร้สาระได้อย่างแน่นอน
โครงเรื่องของการ์ตูนจาก Pixar ก็ยังคงเน้น concept ที่ความเรียบง่าย และไปโชว์ความเทพที่ screenplay เหมือนเดิม จะเห็นว่า Plot เรื่องนี้แสนจะธรรมดา และมีอะไรที่น้อยกว่า เรื่องก่อนๆอย่าง Ratatouille หรือ Toy Story อีก ซึ่งจริงๆความง่ายของ Plot ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นของ Pixar นี้อาจส่งผลเสียต่อหนังได้ง่ายมาก ถ้าองค์ประกอบด้านอื่นไม่เจ๋งพอ การตัดสินใจอย่างนี้ทำให้เสี่ยงเอาความสนุกของหนังไปผูกกับสคริป และอาจถูกมองว่า creator เริ่มหมดไอเดียใหม่ๆที่โดดเด่น ซึ่งก็อาจจะจริง เหมือนที่ในอดีตเคยถูกวอล ดิสนี่ย์กล่าวว่าไว้ก็ได้
อารมณ์ของ Up นี้เรียกได้ว่าเป็นการ์ตูนตลก อย่างแท้จริง ถึงแม้จะมีหลายเหตุการณ์ ที่ถูกเขียนมาเพื่อใส่มุขฮา(ซึ่งถือว่าไม่ดี) แต่ส่วนใหญ่ก็สอดรับและเข้ากับเนื้อเรื่อง อย่างมุขที่ขว้างจีพีเอสออกนอกหน้าต่าง เป็นตลกธรรมชาติและตรงกับเนื้อเรื่องเพราะรัสเซลล์เพิ่งใช้มันนำทางมาที่อเมริกาใต้นี้ มุขหมาพูดได้ที่ดั๊กเป็นตัวเล่น ให้คนดูรู้ครั้งแรก เป็นการเปิดตัวละครที่มีสเน่ห์และตลกมาก หรือมุขที่หมาตกใจเมื่อได้กลิ่นได้ยิน กระรอก ก็ทั้งฮาและมีประโยชน์ต่อรัสเซลล์ตอนท้ายเรื่อง ที่สำคัญ screenplay เรื่องนี้โดดเด่นในเรื่องที่ เล่นกับความง่ายได้ดี อย่างเช่น การเคลื่อนย้ายบ้าน ที่แสนจะง่าย เมื่ออยากลดระดับก็ตัดลูกโป่งออก สามารถลากจูงบ้านไปไหนต่อไหนด้วยสายยางรดน้ำต้นไม้ หรืออยากจะตัดหรือเร่งเวลาฉากไหนก็เร่ง อย่างเช่น การมาถึงอเมริกาใต้อย่างรวดเร็วเหมือนแค่ข้ามคืน หรือพอเควินถูกจับไปปุ๊บ และคุณปู่ตัดสินใจแน่วแน่จะพาบ้านไปเหนือน้ำตกให้ได้ พอคัทมาอีกฉากก็ถึงน้ำตกละ ความไม่ smooth นี้ถ้าเป็นหนังแนวอื่นจะเป็นผลเสียได้ แต่ว่ากับการ์ตูน comedy นี้ การเร่งในบางช่วงบางตอนก็ส่งผลให้อารมณ์ของผู้ชมต่อเนื่องและไม่น่าเบื่อ
เนื้อเรื่องของเรื่องนี้ เขียนได้อย่างน่าติดตามตลอด แบ่งเวลาให้กับอารมณ์ต่างๆอย่างลงตัว เข้ากับจังหวะของการ์ตูน และมีรายละเอียดปลีกย่อยที่นำมาเล่น และช่วยเสริมให้อารมณ์ของเรื่องนี้ดูดีขึ้นมาก เริ่มจากการปูชีวิตของคาร์ล ตั้งแต่เด็กร่วมกับเอลี่ ซึ่งเป็นช่วงเปิดหนังที่เล่าเรื่องอย่างทรงประสิทธิภาพ มันให้ภาพของความสุขจากความรัก เล่าเรื่องของตัวละครเอลี่อย่างรวบรัดและลงตัว ปูบุคลิกนิสัยของคุณปู่ รวมทั้งอธิบายว่าทำไมคาร์ลถึงรักบ้านหลังนี้ และเป็นเหมือนคนที่จมกับอดีตไม่ยอมเปิดรับเรื่องใหม่ๆ ต่อมาพอเริ่มผจญภัย หนังก็เดินเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่มีช่วงไหนที่เหมือนเว้นนานเกินจนน่าเบื่อ และยังสามารถสอดแทรก ความตื่นเต้นและลุ้นในฉากแอ็คชันและ ความเศร้า ซึ้งใจ ในอารมณ์ดราม่าอย่างลงตัว ที่สำคัญเช่น อารมณ์แรงจูงใจของคาร์ล หนังเริ่มจากการให้น้ำหนักต่อความคิดของทั้งคาร์ลและรัสเซลล์พอๆกัน ในความเป็นเด็กพูดมาก จอมวุ่นวายของรัสเซลล์นี้ เขารักและเป็นห่วงผู้คนรอบข้างเสมอ ส่วนคาร์ลนั้นติดอยู่กับความใฝ่ฝันของเขาและเอลี่ในอดีต จนอาจลืมผู้คนรอบข้าง จนมาถึงฉากที่บ้านโดนเผา และคาร์ลระเบิดอารมณ์ออกมา ทำให้ผู้ชมเริ่มดาวน์และไม่ค่อยเอาใจช่วยพระเอกของเราเท่าไร สิ่งนี้ทำให้พอหนังเฉลยปมในช่วงที่นั่งดูอัลบัมภาพคาร์ลกับเอลี่ มีพลังและทำให้หนังมีความหวังมาก รายละเอียดปลีกย่อยอย่าง การจัดวางเก้าอี้คู่ที่คาร์ลชอบนั่ง ซึ่งเพิ่งมาเห็นชัดๆว่าที่ว่างข้างขวานั่นเว้นไว้สำหรับใคร หรือหน้ากระดาษที่เขียนหวัดๆว่า “Stuff I’m going to do.” เหล่านี้ช่วยส่งให้ผู้ชมอินไปกับอารมณ์หนังมากขึ้น ฉากเฉลยนี้เป็นการดึงอารมณ์ผู้ชมจากต่ำมากไปสูงลิ่ว เพราะตัวเอกเข้าใจมุมมองของชีวิตมากขึ้น เนื่องจากสิ่งที่เอลี่ต้องการจริงๆแล้ว ไม่ใช่การนำบ้านมาที่น้ำตกสรวงสวรรค์หรือการมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่มันเป็นการใช้ชีวิตร่วมกับคาร์ลอย่างมีความสุขต่างหาก การตัดสินใจผิดและมาเข้าใจทีหลังนี้ทำให้คาร์ลพร้อมที่จะช่วยรัสเซลล์และเควินอย่างเต็มที่ เป็นการส่งสาส์นถึงผู้ชมอย่างแนบเนียน ว่าระวังอย่าให้ความใฝ่ฝันของเรามาบดบังเราจนมองไม่เห็นสิ่งมีค่ารอบตัว หรือทำให้เราตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ถูก ถือว่าเป็นการ์ตูนที่สอดแทรกประเด็นดราม่าได้อย่างยอดเยี่ยม
ตัวละครต่างๆของเรื่องนี้ ออกแบบมาอย่างดี ที่โดดเด่นและขโมยซีนได้ตลอดคือ character รัสเซลล์ที่แค่เห็นหน้าก็ฮาแล้ว ลักษณะเด็กเตี้ยป้อม หน้าอ้วนเหมือนลูกโป่งและบุคลิกที่น่ารักไร้เดียงสานี้ สามารถจับความสนใจผู้ชมอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนตัวคนแก่ ทั้งคาร์ลและชาร์ล มัลท์ ก็มีลักษณะเด่นในตัว ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือตัวละครดั๊ก(สุนัข) และเควิน(นกยักษ์) ที่แสนน่ารัก เรื่องนี้เป็นอีกครั้งที่ Disney ย้ำให้เห็นว่าความสวยงาม น่ารัก ยังไงก็สำคัญกว่าการวาดให้ถูกต้อง เหมือนจริง ส่วนฉาก สถานที่ต่างๆนั้น โดยส่วนตัวคิดว่ายังไม่ดีพอ มันเหมือนออกแบบให้ง่ายต่อการวาดโดย ไม่ค่อยคำนึงถึงอารมณ์ภาพเท่าที่ควร เรื่องนี้ โทนภาพในฉากบ้านเมือง เวิ้งหน้าผา ถ้ำต่างๆ และที่สำคัญคือ ท้องฟ้า ล้วน plain และเรียบง่ายเกิน มันขาดรายละเอียดเล็กๆน้อยที่จะช่วยให้สมจริง และสิ่งนี้ส่งผลให้บางทีผู้ชมไม่อิ่มกับภาพที่เห็นด้วย ส่วนฉากในป่าส่วนใหญ่นั้น ก็ออกแบบได้โอเค กระจายน้ำหนักสีได้ดี และมีเอกภาพ
ส่วนงาน CG และ Animation เรื่องนี้ต้องชมตามเคยว่า ยังคงรักษามาตรฐานที่สูงลิ่วของ Pixar ไว้ได้ มันมีความสวยงามมากกว่าการ์ตูนค่ายอื่นมาก ที่เห็นได้ชัดคือ การให้น้ำหนักสี และความตื้นลึกของแสงเงาของพื้นผิวเสื้อผ้า และขนสัตว์ที่ดูเหมือนจริงมาก รวมทั้งการให้อารมณ์ตัวละคร สีหน้าต่างๆ ล้วนสวยงามและสื่อความได้ชัดเจน อย่างการประหลาดใจหน้าตายของรัสเซลล์ในช่วงที่ ทำจีพีเอสหลุดมือไป หรือใบหน้าของรัสเซลล์ในช่วงที่ครูดไปกับกระจกเรือเหาะ นั้นก็เรียกเสียงฮาได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้พัฒนาไปไกลเท่าที่ควร เพราะเมื่อภาพเคลื่อนไหว acting ต่างๆของตัวละครกลับเน้นความง่ายเป็นหลัก จริงอยู่ที่การ์ตูนเด็กไม่ต้องการความละเอียดมาก แต่บางฉากมันดูขัดและฝืนธรรมชาติเกิน เช่น ฉากที่เควินกลับตัวลงจากต้นไม้และร้องขู่คาร์ล หรือจังหวะที่รัสเซลล์เอาขาไปกันประตูบ้านคาร์ลและพอเปิดออกอีก ตัวเด็กก็ยังอยู่ใน act ยืนปกติ สิ่งเหล่านี้ แก้ได้โดยการเปลี่ยนมุมกล้องของการวาด และการใส่ภาพ between เพิ่ม นอกจากนี้ การใส่รายละเอียด acting ที่น้อยเพื่อความง่ายแก่ฝ่าย animator ทำให้ความเคลื่อนไหวของตัวละครไม่หลากหลายเท่าที่ควร เรียกว่าเรื่องนี้ ไม่ได้โชว์ความเหนือชั้นของงานกราฟฟิกที่ต้องเคลื่อนไหวเลย
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเรียกความฮาได้ตลอดคือ เสียงพากย์ ซึ่งเรื่องนี้ ทำได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็น Edward Asner ผู้ให้เสียงคาร์ล เฟรดดิกเซ่น และเด็กน้อยJordan Nagai เจ้าของเสียงตลก ไร้เดียงสารัสเซลล์ รวมทั้ง Bob Peterson ผู้พากย์เป็นทั้งดั๊ก และอัลฟ่า ที่ทั้งตลกและมีสเน่ห์ ดังนั้นสำหรับ Up นี้ ถือว่ามีครบทุกองค์ประกอบความฮา ตั้งแต่ระดับสคริป การออกแบบตัวละคร การใส่อารมณ์สีหน้า รวมทั้งน้ำเสียง
อีกส่วนหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ยังเหมือนจะขาดๆอยู่คือ ดนตรีประกอบ เรื่องนี้จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง อาจกล่าวได้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ Pixar ไม่ได้ทางเทียบ Disney เดิมได้ ตั้งแต่ Toy Story มาจนถึง Up นี้ยังไม่มีเรื่องไหนที่มีดนตรี หรือเพลงประกอบที่ยอมเยี่ยมประดับใจเท่า การ์ตูน Disney คลาสสิกอย่างพวก Aladdin , Beauty and the Beast เลย เรื่องนี้ มีดนตรีที่โดดเด่นอยู่ 2ชุด คือช่วงที่ใช้ในอารมณ์ผจญภัยเร็วๆ ที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้ตื่นเต้นแบบเด็กๆ และดนตรีเปียโนเดี่ยวที่ใช้ในช่วงเศร้า ซึ่งก็จัดว่าเป็นดนตรีที่เข้ากับหนัง และทำหน้าที่ช่วยส่งอารมณ์ได้ค่อนข้างดี
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Animation ปะหน้าหนังอย่าง Partly Cloudy ที่สคริปไม่ค่อยเท่าไร แต่มีความน่ารักและให้อารมณ์ที่ดี และอย่าลืมตั้งใจดูฉากจบ End Credit ที่เล่าเรื่อง ชีวิตของคาร์ลและรัสเซลล์ หลังจากกลับมาที่บ้าน ซึ่งช่วยเติมเต็มความรู้สึกของหนังเรื่องนี้(เหมือนกับ End Credit ของ Wall-E) สุดท้ายนี้ ถึงแม้ Up นี้จะยังไม่ดีเท่ากับการ์ตูนคลาสสิกของ Disney Pixar ได้ แต่ด้วยการเดินเรื่องที่น่าติดตาม ตัวละครที่มีสเน่ห์ การเล่าเรื่องด้วยภาพที่สวยงาม และที่สำคัญความฮาแบบไม่ไร้สาระ ทำให้พอชมจบ ถึงแม้จะไม่อิ่มเอมอะไรมากมาย แต่ก็ได้ข้อคิด และความสนุกสนานแบบหลอดคะแนนแตกเลย ถือเป็นหนังที่มีสเน่ห์ที่สุดตั้งแต่ดูมาปีนี้
เครดิต รูปภาพ และข้อมูล thaiza.com..................................................................
เลือกดูคลิปจาก Mthai ได้ที่นี่>>> ตอนที่1 2 3 4 ใส่รหัส pom
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น